สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 25
เข้าใจเรื่องความอึดอัดครับ สถานการณ์แบบกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ตอนนี้ของผมก็งานหนักเหมือนกัน ประชุมหนักมาก เครียดกว่าเมื่อก่อนเยอะจริงๆ (ผมทำกับ บ.ต่างชาติ งานขายครับ)
ขอแนะนำแบบนี้ได้มั้ยครับ จากที่เคยสมัครงานมาเยอะพอควรทั้งไทยและเทศ
ลำดับแรก
- งานตอนนี้ก็รับผิดชอบเต็มที่ไปก่อนนะครับ แก้ที่แก้ได้-จัดการซะ
- อะไรแก้ไม่ได้ก็ช่างมันบ้าง ขอแค่ไปทำแล้วจริงๆและเต็มที่ (สถานการณ์แบบนี้อาจจะต้องเกิน 100)
- ถ้าทำสุดๆๆๆ แล้วเวลาพูดในที่ประชุมมันจะมีน้ำหนักของคำพูดที่หนักแน่นมากๆ , challeng กลับบ้าง ก็จะเป็นเกราะชั้นแรกไม่ให้ใครมายุ่งกับเราได้
ต่อมา - หาเวลา พักผ่อนเยอะๆ หรือไม่ก็ลางานสัก 1 วันเต็มๆ ลาไม่ได้ก็ลาป่วย เอาตัวเองคืนมาก่อน
ผมคิดว่า จขกท คงพยายามมาทุกทางแล้ว ผมก็จะ bypass เรื่องอยู่รอดอย่างไรไปนะครับ ข้ามไปเรื่องหางานเลย
เริ่มร่าง/ปรับ resume เลยครับ 555
นำชีวิตการทำงานทุกอย่างมาเรียบเรียงใหม่ ปรับปรุงให้ดีกว่าเดิม โดยเฉพาะ achievement ใส่ไปเลยเยอะๆ
คิดไม่ออกก็หาหนังสือหรือดู youtube ที่แนะนำเรื่องพวกนี้ ผมก็ไปซื้อหนังสือประมาณการปรับ resume ที่ดี, หรือดูใน youtube ก็ได้นะครับ เอามาปรับให้เหมาะกับสายงาน
> เสร็จตรงนี้เราก็รู้สึกว่า เออ เราก็ใช้ได้นี่หว่า 555
> หรือถ้าใช้ไม่ได้ ก็ไม่เป็นไรนะครับ ก็ตั้งไว้ก่อน ตั้งเป้าปรับปรุงตัวเองใหม่ แล้วก็ทำงานพร้อมกับหางานใหม่ได้
> สำรวจภาระหนี้สิน และเงินสำรองของตัวเองไว้ด้วยยิ่งดี
เมื่อเสร็จ packaging ตัวเราแล้วก็มาดูว่าอยากจะมีชีวิตการทำงานแบบไหน
> มีตำแหน่งอะไรที่เหมาะ จะไปทางขวาง (เปลี่ยนสาย) หรือ ทางขึ้น (เปลี่ยนตำแหน่ง) ก็ลองคิดดูนะครับแล้วแต่ความเหมาะสมของตัวเอง
> รายได้เท่าไหร่ถึงจะพอ ใส่ไปครับไม่ต้องเกรงใจความสามารถตัวเอง แต่อย่าโม้เรื่องความสามารถเยอะนะ ตอนสัมภาษณ์มันจับได้
> ลักษณะงาน
> วันทำงาน, ความยืดหยุ่น
> local/inter?
จดมาเป็นข้อๆ ตั้งไว้ (ประสบการณ์ผมคือตรงกับที่เคยตั้งเป้าไว้เมื่อกลับไปดูครับ)
เข้าไปส่องตาม linkedin, jobsdb, glassdoor สารพัดเว็บสมัครงานว่าตำแหน่งที่มี เราเหมาะเป๊ะมั้ย มีอะไรที่เรายังขาดอยู่ ก็จดๆ ไว้ มาปรับ resume อีกที
- จากประสบการณ์ใน linkedin จะมีประวัติดีๆ ของคนที่อยู่ในตำแหน่งนั้นๆ เราก็เข้าไปดูว่าเค้ามีประวัติการทำงานอะไรมาบ้างถึงได้มาทำตำแหน่งนี้
- เพื่อนๆ , เจ้านายเก่า ถามๆ ว่ามีงานว่างบ้างมั้ยที่ recommend เราให้ได้ > ถ้ามีคน recommend โอกาสจะได้งานก็จะมากขึ้น
ความน่าจะเป็นของการได้งาน โดยมากคือ แสกนหา 100 แห่ง สมัคร 50-60 เรียกสัมภาษณ์ 5-15% ผ่านสัมภาษณ์ 1-2 แห่ง (สถานการณ์ก่อน covid ครับตอนนี้น่าจะยากขึ้น)
จากนั้นก็ ไล่หาตำแหน่งครับ โปรยสมัครไปเลย ช่วงนี้จะฟินๆ หน่อย
ผมตั้งเป้าไว้ว่าจะต้องได้สัมภาษณ์อย่างน้อยเดือนละ 2 แห่ง ส่วนมากก็จะต้องสมัครให้ได้สัปดาห์ละ 10 แห่ง วันละ 2 แห่งที่ต้องส่งใบสมัคร ไม่นับที่ต้องแสกนหาตำแหน่งอีกเป็นร้อย
- ระยะเวลาที่จะถูกเรียกสัมภาษณ์ "ขึ้นอยู่กับความน่าสนใจของประสบการณ์ของ จขกท ใน resume และตำแหน่งว่างตอนนั้น"
- กว่าจะได้งานก็ 3-6 เดือน หรือไม่ก็รอเป็นปี ก็อย่าเพิ่งท้อ สมัครไปเรื่อยๆ ครับ
ถ้าถูกเรียกไปสัมภาษณ์
> เตรียมตัวสัมภาษณ์ให้ดีที่สุด ทำการบ้านเกี่ยวกับ บ.ที่เรียกสัมภาษณ์ไปเยอะๆ แล้วก็ขอให้สนุกกับการสัมภาษณ์ ถือว่าไปคุยและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ เราจะไม่เครียดเวลาไปสัมภาษณ์ครับ
> จากประสบการณ์ ถ้าเน้นคุยแลกเปลี่ยนเป็น 2 way จะสนุกทั้งคนสัมภาษณ์และคนถูกสัมภาษณ์
> ถ้าเราได้เรียกสัมภาษณ์เยอะๆ เราก็จะถูกฝึกเองโดยอัตโนมัติว่าต้องตอบคำถามแบบไหน อะไรที่เราขาดอยู่ + ประสบการณ์ที่เราทำการบ้านมา มันก็จะทำให้เรามองออกเองว่าครั้งต่อไปควรต้องคุยตอนสัมภาษณ์แบบไหน
> อย่าเพิ่งท้อถ้าไม่ถูกเรียก หรือไม่ผ่านสัมภาษณ์ เพราะ บ.ก็มี candidate เยอะเช่นกัน
> ได้ที่แรกก็อย่าเพิ่งตัดสินใจ ถ้ารู้สึกว่ามันไม่ตรงกับที่เราต้องการจริงๆ ก็ปฎิเสธได้ครับ เพราะเรายังมีงานหลักอยู่ รอให้ตรงแล้วค่อยตัดสินใจ
แนะนำเพิ่มเติม - เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในอนาคต
- อย่าให้ตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่มีทางเลือกครับ เราต้องเป็น 'คนเลือก' บริษัทครับ 555
- ช่วงที่เหมาะย้ายงานย้ายตำแหน่งที่สุดคือช่วงที่ผลงานดีครับ จะย้ายง่าย เพราะเราจะเป็นต่อที่สุด จิตใจหนักแน่น พร้อมเป็น 'ผู้เลือก' ที่สุด
- ช่วงที่แย่ที่สุด คือ ตอนที่เรารู้สึกว่าไม่มีทางเลือก อยากลาออกทันที จากประสบการณ์ผมมันคือตอนที่แย่ที่สุดครับ เราจะกลายเป็น 'ฝ่ายถูกเลือก' แทนครับ (ผมเคยผ่านมาแล้วครับ-กลายเป็นหนีเสือปะจรเข้ไปเลย กว่าจะรอดมาได้ก็สะบักสะบอม)
ขอให้ผ่านช่วงเวลานี้ไปด้วยดี เป็นกำลังใจให้ครับ
ขอแนะนำแบบนี้ได้มั้ยครับ จากที่เคยสมัครงานมาเยอะพอควรทั้งไทยและเทศ
ลำดับแรก
- งานตอนนี้ก็รับผิดชอบเต็มที่ไปก่อนนะครับ แก้ที่แก้ได้-จัดการซะ
- อะไรแก้ไม่ได้ก็ช่างมันบ้าง ขอแค่ไปทำแล้วจริงๆและเต็มที่ (สถานการณ์แบบนี้อาจจะต้องเกิน 100)
- ถ้าทำสุดๆๆๆ แล้วเวลาพูดในที่ประชุมมันจะมีน้ำหนักของคำพูดที่หนักแน่นมากๆ , challeng กลับบ้าง ก็จะเป็นเกราะชั้นแรกไม่ให้ใครมายุ่งกับเราได้
ต่อมา - หาเวลา พักผ่อนเยอะๆ หรือไม่ก็ลางานสัก 1 วันเต็มๆ ลาไม่ได้ก็ลาป่วย เอาตัวเองคืนมาก่อน
ผมคิดว่า จขกท คงพยายามมาทุกทางแล้ว ผมก็จะ bypass เรื่องอยู่รอดอย่างไรไปนะครับ ข้ามไปเรื่องหางานเลย
เริ่มร่าง/ปรับ resume เลยครับ 555
นำชีวิตการทำงานทุกอย่างมาเรียบเรียงใหม่ ปรับปรุงให้ดีกว่าเดิม โดยเฉพาะ achievement ใส่ไปเลยเยอะๆ
คิดไม่ออกก็หาหนังสือหรือดู youtube ที่แนะนำเรื่องพวกนี้ ผมก็ไปซื้อหนังสือประมาณการปรับ resume ที่ดี, หรือดูใน youtube ก็ได้นะครับ เอามาปรับให้เหมาะกับสายงาน
> เสร็จตรงนี้เราก็รู้สึกว่า เออ เราก็ใช้ได้นี่หว่า 555
> หรือถ้าใช้ไม่ได้ ก็ไม่เป็นไรนะครับ ก็ตั้งไว้ก่อน ตั้งเป้าปรับปรุงตัวเองใหม่ แล้วก็ทำงานพร้อมกับหางานใหม่ได้
> สำรวจภาระหนี้สิน และเงินสำรองของตัวเองไว้ด้วยยิ่งดี
เมื่อเสร็จ packaging ตัวเราแล้วก็มาดูว่าอยากจะมีชีวิตการทำงานแบบไหน
> มีตำแหน่งอะไรที่เหมาะ จะไปทางขวาง (เปลี่ยนสาย) หรือ ทางขึ้น (เปลี่ยนตำแหน่ง) ก็ลองคิดดูนะครับแล้วแต่ความเหมาะสมของตัวเอง
> รายได้เท่าไหร่ถึงจะพอ ใส่ไปครับไม่ต้องเกรงใจความสามารถตัวเอง แต่อย่าโม้เรื่องความสามารถเยอะนะ ตอนสัมภาษณ์มันจับได้
> ลักษณะงาน
> วันทำงาน, ความยืดหยุ่น
> local/inter?
จดมาเป็นข้อๆ ตั้งไว้ (ประสบการณ์ผมคือตรงกับที่เคยตั้งเป้าไว้เมื่อกลับไปดูครับ)
เข้าไปส่องตาม linkedin, jobsdb, glassdoor สารพัดเว็บสมัครงานว่าตำแหน่งที่มี เราเหมาะเป๊ะมั้ย มีอะไรที่เรายังขาดอยู่ ก็จดๆ ไว้ มาปรับ resume อีกที
- จากประสบการณ์ใน linkedin จะมีประวัติดีๆ ของคนที่อยู่ในตำแหน่งนั้นๆ เราก็เข้าไปดูว่าเค้ามีประวัติการทำงานอะไรมาบ้างถึงได้มาทำตำแหน่งนี้
- เพื่อนๆ , เจ้านายเก่า ถามๆ ว่ามีงานว่างบ้างมั้ยที่ recommend เราให้ได้ > ถ้ามีคน recommend โอกาสจะได้งานก็จะมากขึ้น
ความน่าจะเป็นของการได้งาน โดยมากคือ แสกนหา 100 แห่ง สมัคร 50-60 เรียกสัมภาษณ์ 5-15% ผ่านสัมภาษณ์ 1-2 แห่ง (สถานการณ์ก่อน covid ครับตอนนี้น่าจะยากขึ้น)
จากนั้นก็ ไล่หาตำแหน่งครับ โปรยสมัครไปเลย ช่วงนี้จะฟินๆ หน่อย
ผมตั้งเป้าไว้ว่าจะต้องได้สัมภาษณ์อย่างน้อยเดือนละ 2 แห่ง ส่วนมากก็จะต้องสมัครให้ได้สัปดาห์ละ 10 แห่ง วันละ 2 แห่งที่ต้องส่งใบสมัคร ไม่นับที่ต้องแสกนหาตำแหน่งอีกเป็นร้อย
- ระยะเวลาที่จะถูกเรียกสัมภาษณ์ "ขึ้นอยู่กับความน่าสนใจของประสบการณ์ของ จขกท ใน resume และตำแหน่งว่างตอนนั้น"
- กว่าจะได้งานก็ 3-6 เดือน หรือไม่ก็รอเป็นปี ก็อย่าเพิ่งท้อ สมัครไปเรื่อยๆ ครับ
ถ้าถูกเรียกไปสัมภาษณ์
> เตรียมตัวสัมภาษณ์ให้ดีที่สุด ทำการบ้านเกี่ยวกับ บ.ที่เรียกสัมภาษณ์ไปเยอะๆ แล้วก็ขอให้สนุกกับการสัมภาษณ์ ถือว่าไปคุยและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ เราจะไม่เครียดเวลาไปสัมภาษณ์ครับ
> จากประสบการณ์ ถ้าเน้นคุยแลกเปลี่ยนเป็น 2 way จะสนุกทั้งคนสัมภาษณ์และคนถูกสัมภาษณ์
> ถ้าเราได้เรียกสัมภาษณ์เยอะๆ เราก็จะถูกฝึกเองโดยอัตโนมัติว่าต้องตอบคำถามแบบไหน อะไรที่เราขาดอยู่ + ประสบการณ์ที่เราทำการบ้านมา มันก็จะทำให้เรามองออกเองว่าครั้งต่อไปควรต้องคุยตอนสัมภาษณ์แบบไหน
> อย่าเพิ่งท้อถ้าไม่ถูกเรียก หรือไม่ผ่านสัมภาษณ์ เพราะ บ.ก็มี candidate เยอะเช่นกัน
> ได้ที่แรกก็อย่าเพิ่งตัดสินใจ ถ้ารู้สึกว่ามันไม่ตรงกับที่เราต้องการจริงๆ ก็ปฎิเสธได้ครับ เพราะเรายังมีงานหลักอยู่ รอให้ตรงแล้วค่อยตัดสินใจ
แนะนำเพิ่มเติม - เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในอนาคต
- อย่าให้ตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่มีทางเลือกครับ เราต้องเป็น 'คนเลือก' บริษัทครับ 555
- ช่วงที่เหมาะย้ายงานย้ายตำแหน่งที่สุดคือช่วงที่ผลงานดีครับ จะย้ายง่าย เพราะเราจะเป็นต่อที่สุด จิตใจหนักแน่น พร้อมเป็น 'ผู้เลือก' ที่สุด
- ช่วงที่แย่ที่สุด คือ ตอนที่เรารู้สึกว่าไม่มีทางเลือก อยากลาออกทันที จากประสบการณ์ผมมันคือตอนที่แย่ที่สุดครับ เราจะกลายเป็น 'ฝ่ายถูกเลือก' แทนครับ (ผมเคยผ่านมาแล้วครับ-กลายเป็นหนีเสือปะจรเข้ไปเลย กว่าจะรอดมาได้ก็สะบักสะบอม)
ขอให้ผ่านช่วงเวลานี้ไปด้วยดี เป็นกำลังใจให้ครับ
แสดงความคิดเห็น
ในสถานการณ์แบบนี้ควรลาออกดีไหมคะ
กลับบ้านดึกๆ ดื่นๆ สี่ห้าทุ่มยังต้องนั่งทำงานจนแฟนบ่น หน. เอาแต่ตัวเอง ไม่เคยเห็นอกเห็นใจ เหมือนเขาทำงานหนัก ลูกน้องก็ต้องทำหนักเหมือนเขา
ส-อ ไม่เคยได้ออกไปไหนเลยค่ะ จะไปไหนต้องพกคอมไปด้วยตลอด จนหงุดหงิดตัวเอง งานเยอะไม่มีคนช่วย เสนออะไรไป ขอคนมาช่วย ก็แค่รับทราบแต่ไม่เคยหามาให้
จะย้ายไปแผนกอื่นไม่ยอมให้ไป พอขอขึ้นเงินเดือนบอกยังไม่เก่งพอ ทำงานยังไม่ได้ตามต้องการ คำพูดเขามันบั่นทอน ครส. มากๆ
เวลาจะประชุม ไม่เคยแจ้ง พอตอบคำถามผู้บริหารไม่ได้ก็เรียกเราเข้าไปจอยมิตติ้ง เหมือนเอาเราไปให้คนอื่นด่า เพราะเราก็ไม่ได้เตรียมตัว
ตอนนี้เครียดจนจะเป็นซึมเศร้าแล้วค่ะ (เคยเป็นมาแล้ว แต่ตอนนั้นรู้ตัวเร็วเลยรักษาทัน)
อยากลาออกทุกวันแต่ก็ห่วงหลายๆ อย่าง โควิดด้วย เงินที่มีก็น่าจะอยู่ได้ไม่เกิน 6 เดือน ยังไม่ได้งานใหม่เลยค่ะ
กำลังหางานใหม่เหมือนกันแต่ยังไม่ได้ค่ะ ปกติถ้าแบบนี้คงออกนานแล้ว แต่นี่ช่วงโควิดระบาดหนัก อย่างน้อยๆ บริษัทมีประกันสุขภาพให้ เลยต้องทำ(ทั้งที่อยากลาออกวันละสิบรอบ) ตอนนี้ทำงานเหมือนทาส แต่ตอนออกจะไปเหมือนราชา 555
ไม่มีคำว่าส่วนตัวค่ะ หน.คนนี้ เอาตรงๆ คนที่ลาออกไปเรียก E แล้วค่ะ ขนาดน้องลาออกไปหลายคนเขาก็ยังโทษว่าน้องไม่อดทน ไม่เคยโทษตัวเองเลย
หลายคนคงสงสัยว่าทำไมรับสาย ไม่รับไม่ทำนอกเวลางานก็ได้นี่ ความจริงก็อยากทำแบบนั้นใจจะขาดค่ะ แต่คนพวกนี้เล่นพักเล่นพวก คือมีปัญหาแน่นอนหากยังต้องทำงานที่นี่ต่อไป
หน. ไม่ใช่เจ้าของบริษัท ก็ลูกน้องกินเงินเดือนเหมือนกันค่ะ แต่แบ็กดี
เคยคุยด้วยเหตุผลกันหลายครั้งแล้วค่ะ เราบอกงานเยอะทำไม่ไหวให้ช่วยหาคนมาช่วยหน่อย เขารับทราบนะ แต่ไม่หา คุยกันดีนะ ไม่ได้ผิดใจอะไร แต่ก็หน้ามึนมากๆ
รู้สึกเสียดายมากที่จะย้ายไปอีกแผนกแล้วไม่ได้ไป
บริษัทที่ทำก็ใหญ่นะคะ เป็นมหาชนอยู่นะ แต่งานมั่วมาก
ตอนนี้ก็รอให้สัมภาษณ์วีซ่าให้ผ่านค่ะ คุยกับแฟนคงจะย้ายไปอยู่ต่างประเทศ มีเพื่อนไปอยู่ก่อนแล้ว 2 ปี แต่ตอนนั้นเรายังไม่จริงจังเลยไม่ได้ไปพร้อมกัน